Pre-production คือการวางแผนการถ่ายทำ ซึ่งในฐานะของผู้กำกับหนัง พวกเขาจะมีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์สคริปต์ การทำ Storyboard การวางแผนงานกับเหล่าหัวหน้าแผนก การแคสนักแสดง และการเตรียมอุปกรณ์การถ่ายทำ
สคริปต์คือหัวใจหลักของภาพยนตร์ เพราะทุกเนื้อหาของสคริปต์จะถูกนำมาถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ผู้กำกับจะต้องทำก็คือการวิเคราะห์บทและมองหาจุดอ่อนที่ควรแก้ไข โดยปกติแล้วผู้กำกับจะทำงานกับนักเขียนบทอย่างใกล้ชิด หรือในบางครั้งก็เป็นคนร่วมเขียนบท ผู้กำกับจะต้องมั่นใจกับตัวสคริปต์และโครงสร้างของเรื่องก่อนการถ่ายทำ เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องในภายหลังเป็นสิ่งที่เสียเวลาและเสียงบประมาณ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้กำกับและนักเขียนบทจะต้องระวังก็คือ “งบประมาณ” โดยหลักการคิดแบบง่าย ๆ ยิ่งมีการใช้ตัวละครเยอะและการใช้สถานที่หลายแห่งมากเท่าไหร่ ค่าจ้างนักแสดงและค่าเช่าสถานที่ก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะกับโปรเจ็คเล็กที่มีงบประมาณไม่มาก อาจจะต้องคำนึงถึงจำนวนสถานที่และจำนวนตัวละครเป็นพิเศษ
Storyboard (สตอรี่บอร์ด) คือบอร์ดที่เต็มไปด้วยภาพวาดของแต่ละฉากในสคริปต์ ปัจจัยหลักของภาพวาด Storyboard จะประกอบไปด้วย 1) ท่าทางตัวละคร 2) ฉาก และ 3) ข้อมูลทางเทคนิคเช่น มุมกว้าง มุมแคบ ระดับกล้อง ชนิดกล้อง และเวลาที่จะใช้ในการถ่ายทำ การสร้าง Storyboard เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะผู้กำกับจะต้องนำ Storyboard นี้ไปนำเสนอและบรีฟงานให้กับ Department head อื่น ๆ
เมื่อได้สคริปต์ที่ลงตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหา Department head หรือหัวหน้าแผนกของแต่ละแผนก เพราะในขณะที่ถ่ายทำ ผู้กำกับจะใช้เวลากับการกำกับนักแสดงเป็นส่วนใหญ่โดยที่จะไม่มีเวลาคุมแผนกอื่น ๆ เลยเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องจ้าง Department head มาคอยช่วยแบ่งเบาภาระและคอยสื่อสารสิ่งที่ Film director ต้องการให้กับลูกทีมอีกที โดยปกติแล้ว Department head จะประกอบไปด้วย :
- Director of Photography (DoP) : หรือมีอีกชื่อเรียกว่า “Cinematographer” ทำหน้าที่ดูแลการถ่ายทำ โดยเฉพาะการเลือกใช้กล้อง การจัดวางกล้อง การจัดแสงไฟ เพื่อให้ฉากที่ถ่ายออกมาดูสวยและเป็นไปตามที่ผู้กำกับต้องการ
- Gaffer : แกฟเฟอร์หรือผู้กำกับแสง จะคอยทำงานร่วมกับ DoP เพื่อจัดแสงตามที่บรีฟไว้
- Production designer : เป็นผู้กำกับศิลป์ที่ดูแลเรื่องการออกแบบฉาก เป็นคนที่ตัดสินใจสไตล์การตกแต่งของทุกฉากและวางแผนวัสดุหรือโครงสร้างที่จะต้องใช้ รวมไปถึงการสร้าง Prop สำหรับนักแสดง
- VFX / SFX Supervisor : VFX (Visual effect) คือการแต่งเติมภาพถ่ายจริงด้วยเอฟเฟคพิเศษบนคอมพิวเตอร์ ส่วน SFX (Special effect) คือการสร้างเอฟเฟคในฉากด้วยวัสดุของจริง ทั้งสองอย่างนี้จะมี Supervisor หรือหัวหน้าที่คอยวางแผนการใช้เอฟเฟคตั้งแต่ช่วง Pre-production กับผู้กำกับ พวกเขาจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำว่าในแต่ละฉากจะสามารถสร้างเอฟเฟคอะไรได้บ้างในงบประมาณที่มี
- Production sound mixer : เป็นคนที่ดูแลเรื่องเสียงระหว่างถ่ายทำเช่นการอัดเสียงพูดของตัวละครหรือเสียงพื้นหลังของฉาก โดยที่ Production sound mixer จะคอย Mix เสียงที่ถูกอัดในระหว่างถ่ายทำเพื่อเก็บเสียงที่สมจริงและชัดเจน
- Hair / Makeup / Costume : สำหรับการแต่งตัวและการแต่งหน้า ผู้กำกับจะต้องจ้างช่างแต่งหน้า (Key makeup artist), ช่างแต่งตัว (Key hair stylist) และคนทำชุด (Costume designer) แยกกัน โดยเฉพาะ Costume designer จะมีส่วนร่วมกับผู้กำกับใน Pre-production มากกว่าช่างแต่งหน้าหรือช่างทำผม
- Stunt coordinator : ทำหน้าที่ออกแบบท่าทางการต่อสู้และสอนให้กับนักแสดงหรือสตั้นแมน
ขึ้นอยู่กับขนาดของโปรเจคและงบประมาณ ผู้กำกับอาจจะไม่ได้จ้าง Department head ทั้งหมดที่กล่าวมา เช่น ถ้าเป็นหนังที่ไม่ได้มีเอฟเฟคอลังการหรือฉากต่อสู้ การใช้ VFX Supervisor หรือ Stunt coordinator ก็อาจจะไม่จำเป็น หรือในการถ่ายทำขนาดเล็ก DoP ก็จะสวมหมวกเป็น Gaffer ไปในตัว
ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะช่วยกันคัดนักแสดงที่เหมาะกับตัวละครมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะสื่อสารกับ Casting director เพื่อให้ช่วยหากลุ่มนักแสดงที่ดูมีแวว ส่วนผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะเป็นคนตัดสินใจในรอบสุดท้ายอีกที
ในขั้นตอนสุดท้ายของ Pre-production ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จะต้องเช็กความพร้อมสำหรับการถ่ายทำ ยกตัวอย่างเช่น การสื่อสารกับ DoP เกี่ยวกับอุปกรณ์กล้อง การสื่อสารกับ Production designer เพื่อเช็กว่ามีเฟอร์นิเจอร์และแผนการจัดฉากสำหรับถ่ายทำ การสื่อสารกับ Line producer หรือ 1st Assistant director ว่ามีตารางการถ่ายทำที่แม่นยำและมีการเช่าสถานที่พร้อมสำหรับการถ่ายทำ
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาของขั้นตอนการถ่ายทำที่เรียกว่า Production นั่นเอง